คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4632/2565
ตามมาตรา 7 แห่ง พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 แสดงให้เห็นว่า แม้กฎหมายบัญญัติยืนยันสถานะข้อมูลด้านสุขภาพเป็นความลับส่วนบุคคล ซึ่งผู้ที่รู้ข้อมูลหรือปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับข้อมูลดังกล่าวต้องให้ความสำคัญต่อการรักษาข้อมูลดังกล่าวให้เป็นความลับและห้ามเปิดเผย เว้นแต่จะเป็นไปเพื่อประโยชน์ในการตรวจรักษาตามความประสงค์ของเจ้าของข้อมูล หรือมีกฎหมายเฉพาะบัญญัติให้ต้องเปิดเผย ทั้งยังไม่ให้อ้างบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของทางราชการหรือกฎหมายอื่นเพื่อขอข้อมูลก็ตาม แต่เมื่อได้ความว่า ภายหลังจากโจทก์ผู้เป็นเจ้าของข้อมูลเข้ารับการรักษากับจำเลยที่ 1 ที่โรงพยาบาลของจำเลยที่ 4 แล้ว โจทก์ได้ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลอื่น และการมาขอข้อมูลการรักษาของโจทก์จากจำเลยที่ 4 ได้มีการเรียกร้องค่าเสียหายเข้ามาด้วย ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการไกล่เกลี่ยกัน อันเป็นการแสดงว่ามีข้อพิพาทเกิดขึ้นแล้ว จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ตรวจรักษาโจทก์ บันทึกและล่วงรู้ข้อมูลด้านสุขภาพของโจทก์ และจำเลยที่ 4 ผู้มีหน้าที่เก็บรักษาสิ่งที่บันทึกข้อมูลด้านสุขภาพของโจทก์ ได้นำข้อมูลด้านสุขภาพ คือ เวชระเบียนและคลิปวีดีโอการผ่าตัดเข้าหารือโดยเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวในการประชุมกับพนักงานฝ่ายกฎหมายของจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นบุคลากรภายในที่เกี่ยวข้องเพื่อจะให้ฝ่ายกฎหมายทราบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นและกลั่นกรองงานภายในโรงพยาบาลของจำเลยที่ 4 ตามปกติ เพื่อแก้ไขปัญหา เมื่อฝ่ายกฎหมายของจำเลยที่ 4 เป็นบุคลากรภายในที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว ไม่ถือว่าเป็นบุคคลภายนอก แต่เป็นการเปิดเผยเพื่อให้พนักงานฝ่ายกฎหมายทราบข้อเท็จจริงตามปกติเมื่อเกิดข้อพิพาทขึ้น จึงไม่ใช่เป็นการเปิดเผยข้อมูลตามความหมายของบทบัญญัติตามมาตรา 7 จึงไม่เป็นการกระทำโดยละเมิดต่อโจทก์
ฉบับเต็ม
ที่มา