Wednesday, July 12, 2023

Encoding, Encryption และ Hashing: ความแตกต่างที่สำคัญ

Encoding

Encoding เป็นการแปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่ระบบสามารถเข้าใจได้. จุดประสงค์หลักคือเพื่อความสะดวกในการรับส่งข้อมูล ไม่ใช่เพื่อความปลอดภัย.

เช่น: 

  • ASCII: แปลงตัวอักษรเป็นตัวเลข เช่น 'A' เป็น 65
  • Base64: ใช้ในการส่งข้อมูลผ่านอีเมล เช่น "Hello" เป็น "SGVsbG8="

Encoding สามารถถอดกลับเป็นข้อมูลต้นฉบับได้ง่าย โดยไม่ต้องใช้กุญแจพิเศษ


Encryption

Encryption เป็นการเข้ารหัสข้อมูลเพื่อรักษาความลับ. จุดประสงค์หลักคือป้องกันไม่ให้ผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาตเข้าถึงข้อมูล.

เช่น:

  • AES: ใช้ในการเข้ารหัสข้อมูลในฮาร์ดดิสก์
  • RSA: ใช้ในการเข้ารหัสการสื่อสารทางอินเทอร์เน็ต
  • Caesar Cipher: วิธีการเข้ารหัสอย่างง่าย โดยเลื่อนตัวอักษรไปตามจำนวนที่กำหนด

การถอดรหัส Encryption จำเป็นต้องใช้กุญแจ (key) ที่ถูกต้อง.


Hashing

Hashing เป็นการแปลงข้อมูลให้เป็นค่าคงที่ที่ไม่สามารถแก้ไขหรือถอดกลับได้. จุดประสงค์หลักคือเพื่อตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล.

เช่น:

  • SHA-256: ใช้ในการตรวจสอบความถูกต้องของไฟล์ดาวน์โหลด
  • MD5: ใช้ในการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลในฐานข้อมูล
  • bcrypt: ใช้ในการเก็บรหัสผ่านของผู้ใช้ในระบบ

ตัวอย่างการใช้งาน Hashing:

  • ตรวจสอบความถูกต้องของไฟล์: เปรียบเทียบค่า hash ของไฟล์ที่ดาวน์โหลดกับค่า hash ที่ผู้ให้บริการระบุไว้.
  • เก็บรหัสผ่าน: ระบบเก็บเฉพาะค่า hash ของรหัสผ่าน ไม่ใช่รหัสผ่านจริง เพื่อความปลอดภัย.


การ Hashing มีคุณสมบัติสำคัญคือ:

  • Input เดิมจะได้ output เดิมเสมอ
  • Input ต่างกันจะได้ output ต่างกัน
  • ไม่สามารถย้อนกลับจาก output เป็น input ได้
  • การเปลี่ยนแปลง input เพียงเล็กน้อยจะส่งผลให้ output เปลี่ยนแปลงอย่างมาก

NOTE:

  • Encoding ใช้เพื่อความสะดวกในการส่งข้อมูล 
  • Encryption ใช้เพื่อรักษาความลับของข้อมูล 
  • Hashing ใช้เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล. 
โดยในการการเลือกใช้แต่ละวิธีขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการใช้งานข้อมูลนั้น ๆ

Firewall Policy - การตั้งค่าความปลอดภัยสำหรับไฟร์วอล

ซื้อไฟร์วอลมาโครตแพง แต่ Allow all ก็ไม่ได้ช่วยให้เกิดความปลอดภัยมากนัก ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักจะไม่ค่อยเห็นความสำคัญ 

หลักการที่สำคัญในการตั้งค่าให้กับไฟร์วอล คือ เปิดเฉพาะที่จำเป็น เช่น ผู้ใช้ภายในส่วนใหญ่ก็จะใช้งานแค่  HTTP, HTTPS, SSH, DNS, SMTP, POP3 เราก็เปิดแค่นั้น, ในส่วนของการสื่อสารระหว่าง Server ก็มาดูทีละส่วนทีละเครื่องว่าจะเปิดให้เข้าถึงอะไรได้บ้าง และที่สำคัญคือควรจะต้องมีการทบทวน Firewall Policy อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อนำพอร์ท หรืออะไรที่ไม่ได้ใช้งานแล้วออก (ปกติถ้าไม่ได้ใช้แล้วก็ควรนำออกเลย แต่มันก็มีผิดพลาด หรือลืมกันได้ เพราะฉะนั้นปีนึงก็มาทบทวนอีกซักรอบว่ายังจำเป็นอยู่หรือปล่าว)

ตัวอย่างการตั้งค่า Access control list: ACL

Tuesday, July 4, 2023

BCP Exercise - การฝึกซ้อมแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจ

การฝึกซ้อมแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจ เป็นขั้นตอนในการทดสอบและประเมินความพร้อมของแผนปฏิบัติการ และกระบวนการในการตอบโต้สถานการณ์เมื่อเกิดเหตุที่ไม่คาดคิด เพื่อให้ทราบถึงข้อบกพร่องของแผน, ทรัพยากร, กระบวนการทำงาน, ช่องว่างในการประสานงานต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกหน่วยงาน ตลอดจนประสิทธิภาพของกระบวนการสื่อสาร   โดยมีรูปแบบที่นิยมใช้ในการฝึกซ้อม 3 รูปแบบ คือ
  • การฝึกซ้อมแผนบนโต๊ะ (Table top Exercise)
  • การฝึกซ้อมเฉพาะหน้าที่ (Functional Exercise)
  • การฝึกซ้อมเสมือนจริง (Full scale Exercise)
การฝึกซ้อมแผนบนโต๊ะ (Table top Exercise) เป็นการฝึกซ้อมที่มุ่งเน้นการทำความเข้าใจเกี่ยวกับแผน บทบาทหน้าที่ และความร่วมมือต่าง ๆ  โดยใช้การอภิปรายแบบกลุ่มบนสถานะการณ์จำลองที่กำหนดขึ้น โดยผู้บริหาร และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ข้อดีของการฝึกซ้อมแผนบนโต๊ะคือประหยัด เหมาะสำหรับใช้ในการเตรียมการฝึกซ้อมที่มีความซับซ้อนมากขึ้น

การฝึกซ้อมเฉพาะหน้าที่ (Functional Exercise) เป็นการฝึกซ้อมที่มุ่งเน้นการประเมินความสามารถของบุคลากร การสั่งการ และทรัพยากรที่จำเป็น โดยการจำลองสถานะการเฉพาะจุด หรือเฉพาะบทบาทหน้าที่นั้น ๆ ข้อดีของการฝึกซ้อมการฝึกซ้อมเฉพาะหน้าที่ คือความสมจริงของเหตุการณ์ภายไต้งบประมาณที่จำกัด มักถูกใช้ในการเตรียมความพร้อมรับมือเหตุการณ์ต่าง ๆ เช่น การทดสอบการสื่อสารผ่าน Call tree, การทดสอบ hot site เป็นต้น

การฝึกซ้อมเสมือนจริง (Full scale Exercise) เป็นการฝึกซ้อมที่ซับซ้อนและใช้ทรัพยากรมากที่สุดเนื่องจากต้องมีการเคลื่อนย้ายทรัพยากร และบุคลากรที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดความสมจริงในการตอบสนองต่อเหตุการณ์ โดยมุ่งเน้นการปฏิบัติตามแผนงานที่ได้กำหนดไว้ ซึ่งรวมทั้งกระบวนการสั่งการ การสื่อสาร การเคลื่อนย้าย การตั้งค่า การรายงาน ฯลฯ โดยใช้สถานการณ์สมมติ

การที่องค์กรจะเลือกรูปแบบการซ้อมแบบไหนก็ขึ้นอยู่กับบริบท และความพร้อมขององค์กรในการดำเนินการ แต่อย่างน้อยควรจะมีการซ้อมปีละ 1 ครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าเมื่อเกิดเหตุขึ้นแผนนี้จะสามารถรับมือได้