Thursday, May 8, 2025

แป๊ะเจี๊ยะ: บทสะท้อนวัฒนธรรมและปัญหาเชิงโครงสร้างในสังคมไท

; Perplexity Deep Research

คำว่า "แป๊ะเจี๊ยะ" เป็นปรากฏการณ์ที่ฝังรากลึกในสังคมไทยมายาวนาน และแพร่กระจายไปในหลายภาคส่วน โดยเฉพาะในระบบการศึกษาและอสังหาริมทรัพย์ สะท้อนให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำและวัฒนธรรมการยอมรับการจ่ายเงินนอกระบบเพื่อแลกกับสิทธิพิเศษต่างๆ รายงานนี้จะวิเคราะห์ความหมาย ที่มา ปรากฏการณ์ และผลกระทบของแป๊ะเจี๊ยะในบริบทต่างๆ ของสังคมไทย รวมถึงความพยายามในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว

ความหมายและรากศัพท์ของ "แป๊ะเจี๊ยะ"

"แป๊ะเจี๊ยะ" เป็นคำที่มาจากภาษาจีนแต้จิ๋ว ประกอบด้วยคำว่า "" (bêh8) แปลว่า "ขาว, ว่าง, เปล่า" ผสมกับคำว่า "" (ziah8) แปลว่า "กิน" เมื่อรวมกันจึงมีความหมายว่า "กินเปล่า" หรือ "เงินกินเปล่า"[1] ซึ่งสะท้อนลักษณะของการได้รับผลประโยชน์โดยที่ผู้รับไม่ต้องทำอะไรเป็นการตอบแทน

ในพจนานุกรมไทย-ไทย อ.เปลื้อง ณ นคร ให้ความหมายว่า "กินเปล่า, เงินกินเปล่า ในกิจการบางอย่างโดยเฉพาะการเช่าร้านค้า ผู้เช่าต้องเสียเงินแป๊ะเจี๊ยะให้ผู้มีสิทธิ์อยู่ก่อน"[2] ส่วนในพจนานุกรมไทย-อังกฤษ LEXiTRON แปลว่า "additional charges" หรือ "เงินกินเปล่า"[3] ในขณะที่พจนานุกรมของอาจารย์สอ เสถบุตร อธิบายว่าเป็น "key money paid by a prospective tenant to a landlord" (เงินที่ผู้เช่าจ่ายให้เจ้าของที่ดิน) [2]

ประวัติความเป็นมาของแป๊ะเจี๊ยะในสังคมไทย

การจ่ายแป๊ะเจี๊ยะในสังคมไทยมีประวัติความเป็นมายาวนาน โดยเฉพาะในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีหลักฐานย้อนไปถึงสมัยรัชกาลที่ 5 ระบบนี้เริ่มปรากฏชัดเจนในช่วงการประมูลเช่าที่ดินจาก "พระคลังข้างที่" ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์

วิทยานิพนธ์ของชลลดา วัฒนศิริ เรื่อง "พระคลังข้างที่กับการลงทุนธุรกิจในประเทศ พ.ศ. 2433-2475" ได้อธิบายว่า "วิธีการประมูลค่าเช่านี้เริ่มปรากฏมาตั้งแต่ช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 สำหรับกรณีที่มีผู้เช่าหลายรายต้องการเช่าตึกแถวของพระคลังข้างที่พร้อมกัน พระคลังข้างที่จะใช้วิธีให้ผู้ต้องการเช่าเหล่านี้ประมูลเสนอเงินกินเปล่า หรือที่เรียกกันว่า 'แป๊ะเจี๊ยะ' แข่งกัน ผู้ที่ประมูลเงินกินเปล่าสูงสุดจะได้รับอนุญาตให้เช่าสถานที่นั้น" [4]

วิธีการประมูลในสมัยนั้นใช้การประมูลด้วยวาจาในที่สาธารณชน เมื่อพนักงานเคาะไม้เป็นอันตกลงว่าผู้นั้นเป็นผู้ประมูลสูงสุด และได้รับสิทธิเป็นผู้เช่า[4] ระบบนี้ช่วยให้เจ้าของทรัพย์สินแสวงหาประโยชน์สูงสุดในระบบตลาดทุนนิยม โดยหากทรัพย์สินเป็นที่ต้องการสูง คนจะเสนอราคาที่สูง แต่หากตลาดซบเซา เจ้าของทรัพย์ก็ยังสามารถหาประโยชน์สูงสุดได้เท่าที่ตลาดจะตอบสนองได้[4]

แป๊ะเจี๊ยะในบริบทต่างๆ ของสังคมไทย

แป๊ะเจี๊ยะในวงการศึกษา

ในวงการศึกษาไทย แป๊ะเจี๊ยะได้กลายเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังรากลึกและมีความเชื่อมโยงกับความเหลื่อมล้ำในระบบการศึกษา การจ่ายแป๊ะเจี๊ยะในวงการศึกษามักเกี่ยวข้องกับการที่ผู้ปกครองจ่ายเงินใต้โต๊ะเพื่อให้บุตรหลานได้เข้าเรียนในโรงเรียนที่มีชื่อเสียง โดยมีการรายงานว่าโรงเรียนรัฐบาลดังๆ บางแห่งเรียกเก็บค่าแป๊ะเจี๊ยะในอัตราที่สูงกว่าโรงเรียนเอกชนด้วยซ้ำ[3]

ศาสตราจารย์สมพงษ์ จิตระดับ จากคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยอมรับว่าการจ่ายเงินให้เด็กเข้าเรียนเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับผู้ปกครอง เพราะสามารถการันตีคุณภาพการศึกษาได้ แต่กระบวนการนี้กำลังทำลายระบบการศึกษาไทย และสะท้อนถึงช่องว่างความเหลื่อมล้ำการศึกษาไทยระหว่างคนรวยและคนจน[5]

จากการวิจัยของธนาคารโลกพบว่า คุณภาพการศึกษาของเด็กในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดมีความแตกต่างกันถึง 3 ปี ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ผู้ปกครองยอมจ่ายแป๊ะเจี๊ยะในราคาสูงถึง 400,000 บาทเพื่อให้ลูกได้เข้าเรียนในโรงเรียนดัง[5]

ปัญหานี้ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 มีข่าวการจับกุมรองผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่น ขณะกำลังรับเงินแป๊ะเจี๊ยะจากผู้ปกครองถึง 10,000 บาท ทั้งที่ค่าเทอมปกติอยู่ที่ 2,500 บาท และยังพบหลักฐานการรับเงินจากนักเรียนย้ายเข้ากว่า 70 คน ตั้งแต่ 5,000-20,000 บาทต่อคน[6]

แป๊ะเจี๊ยะในภาคอสังหาริมทรัพย์

ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ การเรียกแป๊ะเจี๊ยะยังคงเป็นธรรมเนียมที่แพร่หลาย เจ้าของที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างมักเรียกเก็บแป๊ะเจี๊ยะจากผู้เช่าเป็นเงินจำนวนหนึ่งที่ค่อนข้างสูงตอนทำสัญญา นอกเหนือจากค่าเช่าปกติ[7]

ข้อดีสำคัญของแป๊ะเจี๊ยะในบริบทอสังหาริมทรัพย์คือการช่วยให้เจ้าของทรัพย์สินแสวงหาประโยชน์สูงสุดในตลาดทุนนิยม กล่าวคือ "หากทรัพย์สินนั้นเป็นที่ต้องการสูงคนย่อมเสนอราคาที่สูง แต่หากตลาดซบเซาเจ้าของทรัพย์ก็ยังสามารถหาประโยชน์จากทรัพย์นั้นได้สูงสุดเท่าที่ตลาดจะสนองได้"[4]

แป๊ะเจี๊ยะในการเมืองและระบบราชการ

ในทางการเมืองและระบบราชการ การให้แป๊ะเจี๊ยะเพื่อให้ได้ตำแหน่งหรือสิทธิพิเศษเป็นเรื่องที่มีมานาน มีรายงานว่าบางพรรคการเมืองอาจเรียกเงินจากผู้ต้องการตำแหน่งทางการเมืองหรือรัฐมนตรีเป็นจำนวนสูงมาก เพื่อหาเงินเข้าพรรคและช่วยเหลือผู้สมัครอื่น[7]

ในวงการราชการ มีข่าวเกี่ยวกับการให้แป๊ะเจี๊ยะเพื่อโยกย้ายตำแหน่ง โดยมีการกล่าวว่า "ระดับผู้กำกับการ 5-7 ล้านบาท ระดับสารวัตร ราคา 1.5-2 ล้านบาท เป็นราคาตั๋วเด็ก"[7] สะท้อนให้เห็นว่าการซื้อตำแหน่งด้วยแป๊ะเจี๊ยะฝังรากลึกในหลายหน่วยงานของรัฐ

แป๊ะเจี๊ยะ: เส้นแบ่งระหว่างวัฒนธรรมและการทุจริต

แม้ว่าแป๊ะเจี๊ยะจะมีรากฐานมาจากวัฒนธรรมการซื้อขายและการประมูลที่เป็นที่ยอมรับในอดีต แต่ในปัจจุบัน หลายฝ่ายมองว่าแป๊ะเจี๊ยะเป็นรูปแบบหนึ่งของการคอร์รัปชัน ร.ต.อ.จอมเดช ตรีเมฆ นักวิชาการด้านอาชญวิทยา มหาวิทยาลัยรังสิต ระบุว่า "แป๊ะเจี๊ยะ ก็คือการคอร์รัปชันนั่นเอง" และเป็นคำพูดที่แสดงถึงการยอมรับการคอร์รัปชัน ให้ความรู้สึกว่าเป็นการจ่ายที่ไม่ผิดกฎหมาย[8]

นายมานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันประเทศไทย กล่าวว่าการเรียกรับเงินในลักษณะนี้มีให้พบเห็นอยู่ทั่วโลก และการเรียกรับแป๊ะเจี๊ยะเป็นปัญหาระดับชาติซึ่งพฤติกรรมการโกงที่เกิดขึ้นทั้งประเทศทำให้ผู้คนเพิกเฉย ชินชา และขอให้ตัวเองอยู่รอดปลอดภัยก็พอแล้ว[8]

ผลกระทบของแป๊ะเจี๊ยะต่อสังคมไทย

ความเหลื่อมล้ำทางสังคม

แป๊ะเจี๊ยะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย โดยเฉพาะในระบบการศึกษา เพราะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ที่มีฐานะดีสามารถเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาที่ดีกว่าผ่านการจ่ายเงินแป๊ะเจี๊ยะ[5] ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นกับดักที่ทำลายความเท่าเทียมในสังคมไทย[6]

การรักษาระบบแป๊ะเจี๊ยะไว้ในวงการศึกษาจึงเป็นการรักษาความได้เปรียบทางสังคมให้กับคนที่มีกำลังจ่าย เพื่อแลกกับผลประโยชน์เป็นตัวเงิน ต่อให้คนให้เต็มใจให้ และคนรับเต็มใจรับ ทั้งสองฝ่ายอาจไม่เสียหายก็จริง แต่สังคมโดยรวมย่อมเสียหาย[4]

การปลูกฝังค่านิยมทุจริต

การยอมรับระบบแป๊ะเจี๊ยะในสังคมไทยเป็นการปลูกฝังค่านิยมที่ผิด แทนที่จะให้ค่ากับการพยายามตั้งใจศึกษาเล่าเรียน แต่กลับยอมจ่ายเงินตอบแทนจำนวนมากเพื่อให้ได้มาซึ่งความต้องการ[9] การนี้สร้างแบบอย่างที่ไม่ดีให้กับเด็กและเยาวชน โดยสอนพวกเขาว่าเงินสามารถซื้อได้ทุกอย่างแม้กระทั่งโอกาสทางการศึกษา

นายคมเทพ ประภายนต์ นายกสมาคมเครือข่ายผู้ปกครองแห่งชาติ กล่าวว่า ทางสมาคมเป็นห่วงกรณีผู้ปกครองยอมจ่ายเงินเพื่อให้บุตรหลานได้เข้าเรียนในโรงเรียนดัง และต้องเร่งแก้ปัญหาแป๊ะเจี๊ยะอย่างรวดเร็ว เพราะถือเป็นวงจรที่ทำลายการศึกษาไทย และอาจส่งผลต่อค่านิยมของเด็กที่เห็นว่าเงินสามารถซื้อทุกอย่างได้[5]

มาตรการและความพยายามในการแก้ไขปัญหาแป๊ะเจี๊ยะ

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีความพยายามในการแก้ไขปัญหาแป๊ะเจี๊ยะในวงการศึกษา โดยในปี 2562 สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ผลักดันมาตรการป้องกันการทุจริตในการเรียกรับทรัพย์สินหรือประโยชน์ตอบแทนเพื่อโอกาสในการเข้าเรียนในสถานศึกษา เสนอไปยังคณะรัฐมนตรี[9]

ป.ป.ช. ได้เสนอให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) พิจารณายกเลิกหลักเกณฑ์การรับนักเรียนกรณีนักเรียนที่มีเงื่อนไขพิเศษ เนื่องจากเป็นช่องทางสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหาการทุจริตในการเรียกรับทรัพย์สินหรือประโยชน์ตอบแทน[9]

ในปี 2566 นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการ ป.ป.ช. ได้มอบนโยบายให้สำนักงาน ป.ป.ช. ในส่วนภูมิภาคทั่วประเทศติดตามเฝ้าระวังปัญหานี้อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งกำชับให้สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัด ร่วมเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์ โดยหากพบผู้ใดกระทำผิด จะมีการลงโทษขั้นสูงสุด[9]

บทสรุป

แป๊ะเจี๊ยะเป็นปรากฏการณ์ที่สะท้อนทั้งรากเหง้าทางวัฒนธรรมและปัญหาเชิงโครงสร้างในสังคมไทย จากจุดเริ่มต้นที่เป็นระบบการประมูลเช่าที่ดินในสมัยรัชกาลที่ 5 มาสู่การแพร่กระจายไปในหลายภาคส่วนของสังคม โดยเฉพาะในวงการศึกษา อสังหาริมทรัพย์ และระบบราชการ

แม้ว่าแป๊ะเจี๊ยะจะถูกมองว่าเป็นการทุจริตรูปแบบหนึ่ง แต่กลับได้รับการยอมรับในวงกว้างและถูกมองว่าเป็นเรื่องปกติในสังคมไทย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาค่านิยมและวัฒนธรรมการยอมรับการทุจริตที่ฝังรากลึกในสังคม การแก้ไขปัญหาแป๊ะเจี๊ยะจึงไม่ใช่เพียงการบังคับใช้กฎหมาย แต่ยังเกี่ยวข้องกับการปรับเปลี่ยนทัศนคติและค่านิยมของคนในสังคม

ความท้าทายสำคัญคือการสร้างระบบที่โปร่งใสและเป็นธรรม โดยเฉพาะในวงการศึกษา เพื่อให้ทุกคนมีโอกาสเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพโดยไม่ขึ้นอยู่กับฐานะทางเศรษฐกิจ และการปลูกฝังค่านิยมที่ถูกต้องให้กับเยาวชน เพื่อสร้างสังคมที่ปราศจากการทุจริตในอนาคต

อ้างอิง

No comments:

Post a Comment

Recent Posts